ส่องโปรดักต์ขายตรง​ 2022 ทุ่ม ‘R&D’ รุก​เสริมภูมิ-ชะลอวัย

Global Consumer Insights Surveyเผยสัญญาณบวกความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว หลังส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว เตรียมเปย์เงินช้อปปิ้งมากขึ้นกลางปีนี้ แนะผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ตามเทรนด์ Stay-at-HomeEconomy” ผลสำรวจชี้ผู้บริโภคยังนิยมอยู่บ้านมากกว่าออกเที่ยว ทางด้านเทรนด์โปรดักต์ ขายตรงผู้ประกอบการต่างเร่งปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค ทุ่มงบหนักพัฒนา “R&D”ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเน้นความแข็งแกร่งที่แตกต่างในตลาดเสริมภูมิชะลอวัย พร้อมปรับแพ็กเกจจิ้งให้ทันสมัยเจาะคนรุ่นใหม่เร่งเปลี่ยนนักธุรกิจเป็น Creators”​ สร้าง “Brand Lovers” ให้เหนียวแน่นหนึบ

ความผกผันทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศไทย ถือว่ายังคงเป็นเรื่องที่ต้องคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด ทั้งแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ไปจนถึงผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้ค่าครองชีพและน้ำมันเชื้อเพลิงดีดตัวสูงขึ้น พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคเอง จึงยังคงมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ PwC ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจไว้ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาเกี่ยวกับผลสำรวจมุมมองของผู้บริโภคไทยและผู้บริโภคทั่วโลกจำนวนกว่า 9,370 ราย ใน Global Consumer Insights Survey” ผ่านเว็บไซต์ PwC.com ที่ชี้ว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น หลังประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโรคโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย โดยมีมุมมองที่น่าสนใจใน 6 ประเด็นหลัก ดังนี้

1. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นหลังได้รับวัคซีนแม้ยังเฝ้าระวังโอมิครอน ผลสำรวจของ PwC ที่จัดทำในเดือนธันวาคมพบว่า 61% มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมการบริโภค แนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

2. ช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนได้รับความนิยมพบว่า 49% ของผู้บริโภคในไทยที่ถูกสำรวจมีการซื้อสินค้าผ่านสมาร์ทโฟนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

3. ผู้บริโภคใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น พบว่าผู้บริโภคชาวไทยถึง 65% มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล และมีเพียง 41% ที่ไว้วางใจแบรนด์ที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้า

4. พิชิตใจผู้บริโภคด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับองค์กร
ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น พบว่า 68% ของผู้บริโภคซื้อสินค้าที่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจนและโปร่งใส ขณะที่ 67% จะซื้อสินค้าจากองค์กรที่ยึดมั่นในคุณค่าและมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น

5. ราคาและความสะดวกยังเป็นปัจจัยหลักของการตัดสินใจซื้อ ราคายังคงเป็นปัจจัยอันดับที่ 1 ในการตัดสินใจ โดย 67% ของผู้บริโภคชาวไทยเลือกที่จะซื้อสินค้าที่มีราคาดีที่สุด ทั้งจากช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

6. ผู้บริโภคยังคงไม่มีแผนเดินทาง แม้ว่าในช่วงปลายปี 2564 จะมีการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แต่ผู้บริโภคชาวไทยบางส่วนมีแนวโน้มที่จะเดินทางน้อยลงในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เมื่อผู้บริโภคบางส่วนยังมีแนวโน้มที่จะอยู่บ้านต่อไป ระบบเศรษฐกิจ การใช้จ่ายและการบริโภคที่บ้าน (Stay-at-Home Economy) น่าจะเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์ของตนเองในปีนี้

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้น เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค พบว่าทางด้านของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขายตรงไทยในปีนี้ แทบทุกบริษัทมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดไปในทิศทางเดียวกัน คือ การลงทุนพัฒนา R&D ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งโดยเฉพาะการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเสริมภูมิคุ้มกันและศาสตร์ชะลอวัย ควบคู่ไปกับการเร่งสร้างนักธุรกิจให้เป็น Creators” ผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อขยายฐานBrand Lovers” ไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ นอกจากนี้บางแห่งยังมีการปรับคะแนน PV หรือจัดแพ็กเกจสินค้าใหม่ เพื่อให้สินค้ามีราคาที่ถูกลง ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นด้วย

บริษัท เก็ทมอร์ บีอิ้ง จำกัด ขายตรงน้องใหม่มาแรง นำโดย ยุทธศิลป์ ทิวะทรัพย์ ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่คือการไปให้ถึง TOP 10 ขายตรงไทยใน 3 ปี เพื่อต่อยอด ขึ้นสู่ TOP 5 ให้ได้ภายใน 5 ปี ปีนี้บริษัทจึงเตรียมเงินลงทุนทางด้าน ผลิตภัณฑ์มากถึง 70% จากปัจจุบันที่มีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมทั้งหมด 12 รายการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ 10 รายการ ที่ดูแลครอบคลุมเกี่ยวกับรูปร่างและผิวพรรณ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ FACE PERFECT 2 รายการ ได้แก่ HYA 4D Serum และ Scrub 4D

ปีนี้บริษัทจะมีการออกโปรดักต์เรือธงเพิ่มอีกประมาณ 2-3 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์ครีมนวัตกรรมใหม่, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารศาสตร์ชะลอวัย เป็นต้น เสริมด้วยระบบฝึกอบรมที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและแพทย์มาร่วมให้ความรู้เพื่อทำการตลาดให้ดียิ่งขึ้นด้วย และวางเป้าหมายจะทะยานไปให้ถึงยอดขาย 300 ล้าทบาท ในสิ้นปีนี้

ขณะที่ ดร.กัมปนาท บุญราศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด กล่าวว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของปีนี้ คือ การลงทุน รอบด้านเพื่อการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภายใต้กลยุทธ์ Innovation For Life” นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ สอดรับชีวิตวิถีใหม่ ที่จะมีการคัดสรรและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เหมาะสม และยกเลิกผลิตภัณฑ์เก่าบางรายออกไป พร้อมลงทุนเพิ่มมากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อยกระดับเทคโนโลยีในการผลิต มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ไปที่ AIMMURA” สารสกัดจากงาดำและ CASHEWY”หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดมาจากเนื้อของผลมะม่วง หิมพานต์ เพื่อตอกย้ำความเป็นแบรนด์ต้นน้ำทางด้าน การวิจัยอย่างแท้จริง เชื่อว่าจะทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 20% ในปี 2565

ส่วนยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ปีนี้จะเน้นผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ ที่มีสัดส่วนยอดขายรวมประมาณ 70% ซึ่งความแตกต่างของแบรนด์นิวทริไลท์จากแบรนด์อื่น คือ ความโดดเด่นในด้านนวัตกรรม และความสามารถของการตรวจสอบ ย้อนกลับ ถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ เราจะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ เสริมด้วยกลยุทธ์ สินค้าเปิดใจเพื่อขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่ ตอบโจทย์เทรนด์ในปัจจุบันด้วยแพ็กเกจจิ้งที่เป็น instagenic ปรับรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจ มีสตอรี่ที่ง่ายต่อการทำคอนเท้นต์ สามารถแชร์ต่อในโลกโซเชียลได้

รวมถึงพัฒนานักธุรกิจแอมเวย์ให้เป็น Amway Creators” หรือนักธุรกิจแอมเวย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ที่สามารถนำเสนอสินค้าในแบบไลฟ์สไตล์ของตัวเองผ่านโซเชียลให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้ด้วย

ทางด้าน บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) (SCM) นายแพทย์สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร และ CEO นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า SCM จะเน้นเรื่องนวัตกรรมและคุณภาพของสินค้าให้มีผลลัพธ์ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างชัดเจน ผ่านกลยุทธ์ Develop the Power of brand การเพิ่มศักยภาพของแบรนด์ที่จะทำในทุกมิติ เพื่อสร้างการรับรู้ออกไปสู่ภายนอกองค์กรมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดกระแสแบรนด์ เลิฟเวอร์ (Brand Lovers) อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ โดยกลุ่มที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษ คือ กลุ่มเสริมอาหาร ที่หลายรายการได้รับการตอบรับดีในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพและดูแลเรื่องภูมิคุ้มกันมากขึ้น เช่น S Vera Plus, S.O.D More และ Nutrica

เทรนด์สุขภาพเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันยังคงมาแรง ปีนี้ SCM จึงออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวใหม่ คือ วิตามินและแร่ธาตุรวมที่มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงการนำเข้าสินค้าจาก USA ที่มีส่วนช่วยในเรื่องภูมิแพ้และช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มาเสริมทัพสินค้ากลุ่มนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสูตร ปรับราคา และปรับ PV ให้เหมาะสมในสินค้าหลายรายการ พร้อมทำการตลาดเชิงรุกด้วยการสร้างนักธุรกิจให้เป็น Creators และ Micro Influencer ในแบรนด์ของ SCM เพื่อเจาะผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ไปจนถึงร่วมมือกับพันธมิตรนอกวงการ ด้วยการเซ็น MOU ร่วมกับ ธีรพรคลินิก สถาบันศัลยกรรมตกแต่งระดับประเทศชื่อดัง เพื่อหวังสร้าง Ecosystem ให้เกิดขึ้น โดยกลยุทธ์ถัดไปคือการอบรมผู้นำให้เป็นBeauty Consult” ที่ได้รับใบรับรองจากแพทย์ คาดว่าจากกลยุทธ์รอบด้าน จะช่วยสร้างยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 200% อย่างแน่นอน

ส่วนตำนานขายตรงไบนารี่ บริษัท แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม จำกัด ภายใต้การนำของ CEO คู่แฝดณพวัฒน์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ ณพวิทย์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ให้ความสำคัญของกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์มาเป็นอันดับต้นเช่นกัน โดยจะมีการสร้างความชัดเจนของแต่ละแบรนด์มากขึ้น และแตกไลน์สินค้าเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค 4 แบรนด์หลัก ได้แก่

1. POLLITIN ผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหารที่โดดเด่นในเรื่องของละอองเกสรดอกไม้สกัด ผลิตภัณฑ์เรือธงที่จะถูกตอกย้ำความเป็นแบรนด์แรกใน Southeast Asia ให้มากขึ้น เหมาะสำหรับกลุ่มคนรักสุขภาพและผู้สูงวัย โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้อาจมีการเปิดตัววิตามินและแคลเซียมสูตรพิเศษเข้ามาเพิ่มอีก 2 รายการ จากเดิมมี 17 รายการ

2. MX ผลิตภัณฑ์กลุ่มแพลนต์เบสด์โปรตีน สกัดจากโปรตีนพืชล้วน 100% เหมาะสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงานที่รักสุขภาพหรือไม่ทานเนื้อสัตว์ ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวสูตรใหม่ รสชาติเฮลเซลนัทและจะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มไฟเบอร์ชงพร้อมดื่ม คอลลาเจน น้ำมันปลา เข้ามาเสริมทัพเพิ่มเติม

3. MATARLIE ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลุ่มเวชสำอาง ปัจจุบันมี 4 รายการ ซึ่งจะมีการเพิ่มสินค้าอื่น
ให้ครอบคลุมการดูแลผิวหน้ามากยิ่งขึ้น เช่น โทนเนอร์ โฟมล้างหน้า เป็นต้น

4. Leá ผลิตภัณฑ์กลุ่มอุปโภคที่เน้นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ยาสระผม ครีมนวดผม สบู่ เป็นต้น

นอกจากนี้บริษัทได้ลดราคายอดซื้อสินค้า เพื่อขึ้นตำแหน่ง VIP โดยจากเดิมอยู่ที่ 12,000 pv ลดเหลือเพียง 6,000 PV ซึ่งเมื่อคำนวณจาก PV เป็นจำนวนเงิน ลูกค้าจะใช้เงินซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลงกว่าเท่าตัว เพื่อเปิดโอกาสให้กับคนใหม่ที่ต้องการมีรายได้เสริม โดยเฉพาะวัยรุ่นตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ทางฝั่งของ ตำนานนวัตกรรมบริษัท พีอาร์ไนน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด PR9” นำโดย นัทธวัฒน์ ธีระวาณิชย์ รองประธานบริษัท และ พงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา รองประธานบริหาร ล่าสุดได้ร่วมกัน Revision” ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น องค์กรสุขภาพแห่งอนาคตโดยจะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ Mega Trend ด้านการดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการปรับแพ็กเกจจิ้งผลิตภัณฑ์บางรายการให้ทันสมัยและถูกใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น ไปจนถึงการรุกโปรโมตและทำโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพภายใต้ชื่อ 9 Body Young Project” โดยจัดผลิตภัณฑ์หลากหลายมาอยู่ด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มการดูแลสุขภาพแต่ละด้าน ได้แก่

1. Young Forever ผลิตภัณฑ์กลุ่มสมุนไพรจีน เสริมสร้างบำรุงสุขภาพแบบองค์รวม

2. Body Balance ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างสุขภาพและดีท็อกซ์ เพื่อปรับสมดุลภายในร่างกาย

3. Body Boost ผลิตกลุ่มโปรตีน กลุ่มความสวยความงาม กลุ่มบำรุงสายตา บำรุงสมองวิตามินรวม

4. Body Perfect เป็นการผสมผสานของทั้ง 3 กลุ่มแรกเข้าด้วยกัน ควบคู่ไปกับ 9 Body Check”นวัตกรรมการใช้เครื่องตรวจวัดดัชชีมวลกายเพื่อการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล

เรามุ่งไปที่การสร้างกิจกรรมกับกลุ่มคนรักสุขภาพ นอกจาก 9 Body Young Project แล้วยังมีกิจกรรมอื่น เช่น แคมเปญ Tiger Run โชคดีมีชัยวิ่งต้อนรับปีเสือ ในระบบ Virtual Run มีคนร่วมวิ่งถึง 800 คน และในปีนี้จะเน้นการใช้ Influencer Marketing มากขึ้น โดยจะเชิญผู้ที่มีองค์ความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพ เช่น แพทย์ เภสัชกร แพทย์แผนจีน มาให้ความรู้กับกลุ่มสมาชิก และทำรีวิวผ่าน YouTube เพื่อให้สมาชิกขับเคลื่อนตลาดได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ส่วนทางด้าน CCI” ผู้นำด้าน INNOVATIVE HERBS” ดร.ณสพน โพธิ์วิจิตร ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า จุดแข็งของ CCI คือ R & D ผลิตภัณฑ์ของเราจึงเห็นผลได้จริงและตอบโจทย์ผู้บริโภค เราลงทุนทั้งในเรื่องเครื่องมือและบุคลากร สร้างห้องแล็บ R & D ด้วยเงินทุนหลักร้อยล้าน ผลิตภัณฑ์ทุกตัวก่อนที่จะออกสู่ท้องตลาด มีการทดลองทั้ง In Vitro study & In Vivo Study ก่อนไปสู่การวิจัยทางคลินิก นอกจากนี้ CCI ยังให้นักธุรกิจนำสินค้าไปใช้ฟรี 2-3 เดือน พร้อมกับเก็บข้อมูลด้วยนักเทคนิคการแพทย์ตามขั้นตอนอย่างถูกต้องแล้วนำผลมาวิเคราะห์โดยละเอียด จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับและพิสูจน์ได้จริง

ปีนี้ CCI” เตรียมวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกไตรมาส รวมแล้วไม่น้อยกว่า 6 รายการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดูแลสายตา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดูแลเกี่ยวกับโรค NCDs ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง PROVE เป็นต้น นอกจากนี้จะลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรทั้งระบบการสกัดและการผลิตวัตถุดิบสมุนไพร ทำให้เครื่องมือช่วยยกระดับสารสกัดให้ได้ผลสูงยิ่งขึ้น รวมไปถึงเพิ่มสายการผลิต สินค้าเครื่องสำอาง และเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องอีกร่วม 200 ล้านบาท เพื่อ สร้างศูนย์ฝึกอบรมขนาดใหญ่และ โรงงานเครื่องมือแพทย์ที่อำเภอคลองหลวง ถนนเลียบคลอง 4 ที่บริษัทซื้อที่ดินไว้จำนวน 16 ไร่ และกำลังจะแล้วเสร็จเร็ว ๆ นี้อีกด้วย

Loading