“เจนเนอราลี่ กรุ๊ป” โชว์ผลประกอบการรวมปี 2021 เติบโตฝ่าวิกฤต ทำกำไรกว่า 2.3 แสนล้านบาทเตรียมเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่สร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน

เจนเนอราลี่ กรุ๊ป เผยผลประกอบการในปี 2021 สร้างกำไรจากผลการดำเนินงานกว่า 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นผลกำไรสูงสุดในประวัติการณ์ จากการเติบโตของธุรกิจด้านประกันชีวิต ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจโฮลดิ้ง และธุรกิจอื่นๆ รวมถึงผลการดำเนินงานอย่างยอดเยี่ยมจากธุรกิจประกันภัยทรัพย์สินและเบ็ดเตล็ด มีผลกำไรสุทธิ 1.1 แสนล้านบาท

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ได้เปิดเผยในงานประชุมพนักงานประจำปี 2022 (Townhall) ครั้งที่ 1 ว่า “ในปี 2021 ถือเป็นปีที่ กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ (Generali Group) ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสามารถสร้างกำไรจากผลการดำเนินงาน (Operating result) รวมทั้งสิ้นกว่า 2.3 แสนล้านบาท (+12.4%) ซึ่งถือเป็นผลกำไรที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ของกลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Gross Written Premium) สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท (+6.4%) จากการเติบโตของธุรกิจด้านประกันชีวิต รวมถึงผลการดำเนินงานอย่างยอดเยี่ยมจากธุรกิจประกันภัยทรัพย์สินและเบ็ดเตล็ด (P&C) ทำให้มีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าของธุรกิจประกันชีวิต (Life Net Inflows) สูงถึง 4.9 แสนล้านบาท (+4.4%) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ประเภทประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-linked) มีผลกำไรขั้นต้นของธุรกิจใหม่ (New Business Margin) ในระดับยอดเยี่ยมที่ร้อยละ 4.52 (+0.57 p.p.) ในขณะที่อัตราส่วนรวม (Combined Ratio) อยู่ที่ร้อยละ 90.8 (+1.7 p.p.) จากตัวเลขผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้นจึงทำให้ กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ มีผลกำไรสุทธิ (Net Result) กว่า 1.1 แสนล้านบาท (+63.3%) และมีเงินปันผลที่เสนอต่อหุ้นมีมูลค่าที่ 41.7 บาทต่อหุ้น

พร้อมกันนี้ กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ได้เดินหน้าพัฒนาและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อซื้อหุ้นใหญ่ในกิจการร่วมค้าของ AXA Affin เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 100% ก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกัน P&C อันดับ 2 ในประเทศมาเลเซีย รวมถึงได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการ La Médicale ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษสำหรับเจนเนอราลี่ ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสายผลิตภัณฑ์ด้านประกันสุขภาพและประกันทรัพย์สินเบ็ดเตล็ดในประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย

ดังนั้นเพื่อตอกย้ำความสำเร็จ กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ จึงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2022 ภายใต้กลยุทธ์หลัก Lifetime Partner 24: Driving Growth โดยเพิ่มเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่สร้างผลกำไรอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่ “การขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีจุดหมาย” ด้วยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาค มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางเทคนิค เตรียมยกระดับเจนเนอราลี่ในประเทศเยอรมนี

และประเทศฝรั่งเศสเปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในการจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นบริษัทประกันชั้นนำด้านดิจิทัล ต่อมาคือ “เพื่อนผู้เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต” ด้วยการมุ่งเน้นความเป็นเลิศในธุรกิจที่สร้างผลกำไร มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมั่นคงเคียงข้างนักลงทุน โดยมีเป้าหมายการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กำไรต่อหุ้นราว ๆ 6 – 8% สุดท้าย “การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต” ด้วยการเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็น “Lifetime Partner ” มุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชั้นนำด้านดิจิทัล ขยายการเติบโตในการจัดการสินทรัพย์ ลดความซับซ้อนรวมถึงจัดการระบบด้านไอทีแบบบูรณาการ

ทางด้าน มร.ฟิลลิป ดอนเนท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่ม บริษัทเจนเนอราลี่ (Mr.Philippe Donnet, Generali Group CEO) กล่าวว่า “ผลประกอบการของปี 2021 ถือเป็นผลลัพธ์ของแผนกลยุทธ์ Generali 2021 ที่ประสบความสำเร็จและบรรจุตามเป้าหมายเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเราปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาและตอบโจทยทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน จากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Generlali 2021 ในช่วงที่ผ่านมา ได้ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านประกันในยุโรปและได้กลายเป็น Lifetime Partner ให้กับลูกค้า 67 ล้านคนทั่วโลก ด้วยศักยภาพของพนักงานและตัวแทนจำหน่ายทุกภาคส่วน ปัจจุบัน เจนเนอราลี่ อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดขององค์กรธุรกิจในระดับเดียวกันในแง่ของระดับเงินทุน ความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตของธุรกิจ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงให้แก่องค์กร และขยายธุรกิจบริหารสินทรัพย์ให้เติบโตยิ่งขึ้น ในปี 2022 นี้ เราได้เริ่มดำเนินการตามกลยุทธ์ใหม่ Lifetime Partner 24: Driving Growth เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นที่การเติบโตอย่างยั่งยืน ธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น และการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ด้วยแนวทางการปรับใช้เงินทุนที่เข้มงวดและมีระเบียบวินัย ควบคู่กับความยั่งยืนในธุรกิจอย่างสมบูรณ์ และเพิ่มการลงทุนในด้านเทคโนโลยี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในความสำเร็จของธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน”

Loading