ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก รับรู้รายได้ 1,586 ล้านบาท ขยายตัว 4% กำไรสุทธิ 328 ล้านบาท

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)  ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2565  ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ในสภาวะที่มีปัจจัยลบมากมายในไตรมาสแรกของปี โดยสามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 1,586 ล้านบาท ขยายตัว 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  รวมทั้งยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีในสภาวะที่เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นทั่วโลก  โดยมีกำไรสุทธิที่ 328 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3%
     นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า แม้จะมีปัจจัยลบหลายตัว ที่เข้ามากระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน   สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน   ปัญหาวิกฤติ Supply Chain โลก   ปัญหาการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อ  รวมถึงนโยบายการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ   และการเร่งทำ QE Tapering ของเฟด เป็นต้น  ซึ่งล้วนเป็นตัวที่กดดันเศรษฐกิจ และสภาวะตลาดโดยรวม  อย่างไรก็ดีการที่บริษัทเน้นการทำตลาดที่เป็น Real Demand ซึ่งเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า  รวมถึงการพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ โดยยังคงมียอดรับรู้รายได้ที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมีความเชื่อมั่นเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   ในขณะเดียวกันบริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี โดยในไตรมาสแรกนี้ยังคงมีอัตรากำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม  โดยคงอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 39.1% และอัตรากำไรสุทธิที่ 20.7% สำหรับในปี 2565 นี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดโครงการทั้งสิ้น 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท  ซึ่ง ณ ปัจจุบันรวมโครงการที่เปิดตัวไปแล้ว และเตรียมที่กำลังจะเปิดอยู่ รวมทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่วางเอาไว้     ในแง่การบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงิน  ในเดือนก่อนหน้า ช่วงก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก  บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี เพื่อล็อคต้นทุนดอกเบี้ยไปแล้วจำนวน 500 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 3.2%   โดยบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุม มีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย รวมถึงมีวงเงินสำรองที่ยังไม่เบิกใช้อีกจำนวนมาก  รวมถึงการหมุนรอบธุรกิจที่รวดเร็ว ช่วยให้บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีการลงทุนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา  แต่บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นไตรมาสแรกนี้เพียง 0.59 เท่า  ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 1.4 เท่า อย่างมาก  นอกจากนี้หากพิจารณาที่ตัวอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio)  จะอยู่ในระดับเพียง 0.21 เท่า  สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และความพร้อมในการขยายธุรกิจโดยไม่ติดปัญหาสภาพคล่อง ได้เป็นอย่างดี

Loading